เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ ม.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เวลาเราไปโรงพยาบาล เราไปซื้อยา ยาหมดอายุเราเอามากินเอามาใช้เป็นอันตราย ยาหมดอายุ สิ่งที่ยาหมดอายุมันหมดอายุแล้วเราใช้มันไม่ได้ แต่เวลาประวัติของครูบาอาจารย์เรามันจะมีหมดอายุไหม เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอกาลิโก ไม่มีกาลไม่มีเวลา แต่ทีนี้โลกเรามันมีกาลมีเวลา ต้องมีกาลมีเวลา ถ้าไม่มีกาลเวลามันปิดบัญชีไม่ได้ มันนัดหมายไม่ได้ ทุกอย่างไม่ได้ เวลานี้เป็นสมมุติ สมมุติ เห็นไหม

เวลาบอกทำสมาธิ เราประพฤติปฏิบัติมันเกี่ยวกับกาลเวลา กาลเวลาหมายถึงภพชาติ ผลของวัฏฏะเวียนว่ายตายเกิด เห็นไหม ๑๐๐ ปี ของเราเท่ากับเทวดาเขา ๑ วัน แล้วอายุขัยของเรา ๑ อายุขัยของเรากับ ๑ อายุขัยของเขามันคลาดเคลื่อนกัน มันคลาดเคลื่อนกันนะ วันเวลามันคลาดเคลื่อนกัน

ทีนี้เวลา สิ่งที่เวลาเขาเอาไว้นัดหมาย เอาไว้เพื่อเป็นเรื่องโลกสมมุติ แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีกาลไม่มีเวลา ฉะนั้น มันไม่มีการหมดอายุไง มันสดๆ ร้อนๆ สดๆ ร้อนๆ ศีล สมาธิ ปัญญามันสดๆ ร้อนๆ มาตลอดเวลา มันสดๆ ร้อนๆ มาจากไหน? มันสดๆ ร้อนๆ มาจากหัวใจไง ถ้าหัวใจเราได้สัมผัส มันสดๆ ร้อนๆ

แต่ของเรา เราคาดเราหมายไปอดีตอนาคตไง เมื่อนั้นจะปฏิบัติ เมื่อนั้นกูจะเป็นพระอรหันต์ เมื่อนั้นกูจะดี เมื่อนั้นกูจะเป็นคนดี เมื่อนั้นน่ะอนาคต มันเป็นอดีตอนาคตไป ถ้ามันเป็นอดีตอนาคต

ฉะนั้น เวลาเราทำไปมันเป็นเรื่องของสมุทัย สมุทัยสิ่งนี้เราปฏิเสธมันไม่ได้ ของมันมีอยู่ไง ในหัวใจของเรามันมีอยู่ ของมันมีอยู่ เพราะมีสมุทัย มีอวิชชา เราถึงเวียนว่ายตายเกิดกัน แต่เวียนว่ายตายเกิดแล้ว สิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันทำให้เราทุกข์เรายาก

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจธรรมๆ เวลาไปรู้ไปเห็น เห็นไหม เวลาบอกหน้าที่การงานไม่ใช่กิเลส ความหิวกระหายก็ไม่ใช่กิเลส มันเป็นความหิวกระหายของธาตุขันธ์ แต่ความอยาก เวลาหิวแล้วมันอยาก มันอยาก มันแลบออกมานั่นน่ะ อันนั้นแหละกิเลส

แต่เรื่องสัจจะ กาลเวลามันก็เป็นกาลเวลา เวลานาฬิกามันก็หมุนไป เวลานั่งสมาธิจะทุบนาฬิกาทิ้งเลยนะ มันเดินช้า มันอยากให้ไวๆ แต่เวลามีความสุขนะ เวลามันไปเร็วมากเลย เห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เวลาเราใช้ประโยชน์ไง เราจะบอกว่าสิ่งนั้นมันเป็นโทษทั้งหมดก็ไม่ได้ สิ่งนั้นมันเป็นประโยชน์ มันเป็นคุณ มันเป็นคุณกับโลกเขา แต่เวลามันเป็นโทษกับการคาดการหมายของเราไง เวลาการคาดการหมายมันทุกข์มันยากไปหมดแหละ มันยังไม่ได้ทำ มันอยากได้อยากดี

แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ในพระไตรปิฎกบอกถึงวิธีการทั้งหมด คือกิริยาการกระทำของใจ ใจมีการกระทำ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาจะไปเทศน์ปัญจวัคคีย์ ปัญจวัคคีย์เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอดอาหาร ทำทุกรกิริยามามหาศาลเลย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาฉันอาหารของนางสุชาดา เสียใจ เสียใจมากว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับมามักมาก

เวลาเขาทิ้งไปแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ สิ่งที่ทำวิชชา ๓ ขึ้นมาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เป็นศาสดา มีความสุขมาก เสวยวิมุตติสุข สุขแบบนี้สุขในโลกไม่มี ใน ๓ โลกธาตุตั้งแต่พรหมลงมาไม่รู้จัก ไม่เคยเห็น ไม่เคยมี ไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสัมผัสขึ้นมาแล้วมีความสุขมาก ปรารถนามาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อจะมารื้อสัตว์ขนสัตว์ แล้วเราจะสอนเขาได้อย่างไรล่ะ มันละเอียดลึกซึ้งจนเราเองเรายังทึ่ง แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไร

แต่สุดท้ายแล้วก็ตัดสินใจว่า เขาก็ได้สร้างบุญญาธิการมาเหมือนกัน เขาก็ได้สร้างมา คนที่มีปัญญาเขารู้ได้ คนที่มีปัญญาเขาจะจับความผิดของตัว คนมีปัญญาเขาไม่ไปเพ่งโทษคนอื่น การเพ่งโทษคนอื่นนั้นมันไม่ได้ผลประโยชน์อะไรขึ้นมา มันมีแต่ความเร่าร้อนในหัวใจของเรา แต่การเพ่งโทษ การจับผิดเรา การค้นคว้าในหัวใจของเราเป็นประโยชน์กับเรา สิ่งที่คนมีปัญญาเขาคิดกันอย่างนั้น ถึงว่าคนที่มีปัญญาเขามี ก็จะไปเทศนาว่าการ ไปโปรดปัญจวัคคีย์

ปัญจวัคคีย์เขานัดกันไว้ เพราะความเห็นของเขา ความเห็นของเขาทำทุกรกิริยา ทำทุกรกิริยาขนาดนี้ยังไม่สำเร็จ แล้วมาฉันอาหาร มาเสวยสุขมันจะมีความสำเร็จได้อย่างไร ก็นัดกันว่าจะต่อต้านนะ จะต่อต้านเพราะคิดว่าเวลาเราทิ้งมาแล้ว เวลาเราอุปัฏฐาก ๖ ปี แหม! เราอุปัฏฐากให้มีความสะดวกความสบาย เวลาทิ้งมาแล้วไม่มีคนดูแลก็จะมาง้อเราไง จะมาหลอกเราให้ไปอุปัฏฐากอีกไง นี่ความคิดของคนมีกิเลส เห็นไหม

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ จะเผยแผ่ธรรม จะเอาใครก่อน เอาคนที่มีปัญญา อุทกดาบส อาฬารดาบสเป็นอาจารย์ เคยศึกษากับเขามา เขาได้ฌานสมาบัติ แสดงว่าเขามีฐานของเขา ควรจะสอนเขาก่อน เขาก็ตายไปเสียแล้ว แล้วจะไปเอาคนอื่น คนอื่นจะเอาขนาดไหนล่ะ นี่อนาคตังสญาณก็เล็งญาณๆ ปัญจวัคคีย์ ปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากกันมา ๖ ปี ๖ ปี เขาได้ประพฤติปฏิบัติมา ๖ ปี คนที่อุปัฏฐากอยู่ เรามาปฏิบัติในวัด ๖ ปี เราทำสมาธิได้ไหม เราก็ต้องมีพื้นฐานเป็นธรรมดาใช่ไหม พอมีพื้นฐานเป็นธรรมดาก็ไปเทศน์ปัญจวัคคีย์ เขาก็นัดกันว่าจะไม่ต้อนรับ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เมื่อก่อนมันยังไม่มีปัญญา ไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจ เราก็ไม่เคยบอกเคยสอน เพราะเป็นสุภาพบุรุษ สิ่งใดที่เราไม่รู้ไม่เห็นเราก็ไม่บอกใช่ไหม แต่ในปัจจุบันนี้รู้ปัจจุบันนี้เห็น ปัจจุบันไง เธอจงเงี่ยหูลงฟัง จงเงี่ยหูลงฟัง เราจะเทศนาว่าการ เราจะบอกไง เวลาจะไปเทศนาว่าการ สิ่งต่างๆ ที่มันเป็นความจริงๆ เวลาเทศนาว่าการไปแล้ว ดูสิ อำนาจวาสนาของคน ปัญจวัคคีย์นี่นักบวช ๕ คน แต่เวลาเทศน์ธัมมจักฯ ไป ทำไมพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมองค์เดียวล่ะ อีก ๔ องค์ยังไม่เห็น เห็นไหม ก็อุปัฏฐากมา ๖ ปีเหมือนกัน ทำสมาธิมาเหมือนกัน แต่เทศนาว่าการไป ทั้ง ๕ ก็ต้องมีความเห็นมีความเข้าใจทั้ง ๕ สิ ทำไมมีความเห็น มีความเข้าใจได้องค์เดียวล่ะ อีก ๔ องค์ยังไม่เข้าใจ ยังต้องเทศนาซ้ำไปๆ ซ้ำจนเป็นพระโสดาบันทั้งหมด มาเทศน์อนัตตลักขณสูตรถึงเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาพร้อมกันหมด

นี่มันไม่มีกาลไม่มีเวลา ในสมัยพุทธกาล สมัยปัจจุบันนี้ อนาคตกาล ไม่มีเวลา ไม่มีเวลาเพราะอะไร เพราะเวลามันเป็นจริง มันเป็นปัจจุบันธรรมไง มันเป็นขึ้นมาในหัวใจนี้ แล้วหัวใจนี้มันจะเป็นเป็นอย่างไร

ตอนนี้เราก็เป็นอยู่ เราก็คิดได้ เดี๋ยวจินตนาการได้เป็นหมดเลย...เป็นหมดด้วยความคิดไง กิริยา กิริยาที่มันไปกว้านเอาแต่ความเห็นของตัว กิริยาที่มันเป็นตัณหาความทะยานอยากไง การคาดการหมายไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีปัญญา เราก็ศึกษา ทำไมจะมาศึกษาไม่ได้ พระไตรปิฎกก็อ่านทะลุหมดแล้ว ปลวกมันกินหมดเลย เวลาปลวกมันกินนะ เราเอาไปต้มกิน ต้มกินเลย อยากจะให้มันรู้ขึ้นมา...ไม่มีทาง มันเป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน พระอานนท์เป็นพระโสดาบัน อยากให้มีครูบาอาจารย์สอนต่อไป คร่ำครวญเลยล่ะ “อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา แม้แต่ตถาคตก็ต้องนิพพานในคืนนี้”

เวลาถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปแล้วใครจะสั่งใครจะสอนล่ะ

สิ่งที่ธรรมวินัยที่เราวางไว้แล้ว สิ่งที่ธรรมวินัยที่วางไว้ ที่วางไว้นี้เป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถ้าผู้ใดประพฤติปฏิบัติรู้จริงเห็นจริงขึ้นมามันก็เป็นความจริงขึ้นมา ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้ที่ปฏิบัติ! ผู้ที่ปฏิบัติ! ไม่ใช่ผู้ที่อ่าน ไม่ใช่ผู้ที่ค้นคว้า ไม่ใช่ผู้วิจัย ไอ้นี่มันเป็นกิเลสของเรา

เวลาบอกพระอานนท์ เราตายไปเราก็เอาสมบัติของเราไปเท่านั้น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเวลาตายไปก็เป็นสมบัติของพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะทั้งนั้น นี่เวลาเราตายไปเราก็มีแต่ความจำไปไง เวลาเราตายไปเราก็มีแต่ นี่ไง เวลา ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ ๕ เป็นภาระ ภาระรกรุงรัง แต่ของเราไม่ใช่ ขันธ์ ๕ ของเรา กูคิด ของกู เวลามันตายไปมันถึงตายไปด้วยความพะว้าพะวังไง เวลาตายไป สมบัตินี้จะให้ใคร เราตายไปแล้วใครจะรู้ว่าเราตายหรือยัง มันคิดไปนู่นน่ะ แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านตายนะ ทิ้งไปแล้ว

ซากศพ เห็นไหม ดูสิ เวลาสัตว์ป่ามันตาย ซากของมันเป็นอาหารของสัตว์นักล่าต่อไป ซากศพมันยังเป็นประโยชน์ เวลาสัตว์มันตาย เนื้อหนังมังสามันยังเป็นประโยชน์ เวลาคนตาย เขากลัวผี คนตายเขาวิ่งหนีเลย แต่เวลาสัตว์มันตาย ซากมันยังเป็นประโยชน์ได้

ฉะนั้น ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา เวลาสิ่งที่ว่ามันเป็นภาระ ภาระก็ดูแลรักษากันไป ถ้าจิตมันพิจารณาของมัน มันวางของมันจนหมดของมันแล้ว อกาลิโก มันไม่หมดอายุ มันไม่มีอายุ ไม่มีเวลาจะไปเปรียบเทียบ แต่ถ้าเป็นยาหมดอายุ เป็นวัตถุที่หมดอายุแล้วเราไม่อยากได้ ไม่อยากได้ เพราะอะไร เพราะเราไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นโทษกับเราหรือเปล่า

สิ่งที่เป็นโทษ เป็นโทษจริงๆ เป็นโทษ ถ้ายาหมดอายุแล้วมันก็ใช้ประโยชน์ไม่ได้ ธรรมะที่เวลาเราศึกษามาๆ จำได้มันก็ยังมีอายุอยู่ จำไม่ได้ก็หมดอายุเหมือนกัน เวลาใครมาถามปัญหาขึ้นมา คนที่จำมาต้องไปเปิดพระไตรปิฎกก่อน ต้องไปเปิดตำราเพราะมันหมดอายุไปแล้ว มันลืมไปแล้ว นี่ยาหมดอายุ

แต่ถ้าเป็นยา ยาสมุนไพร ยาที่มันไม่มีอายุ ยิ่งเก่ายิ่งแก่ ยิ่งดี ยิ่งเป็นประโยชน์ สิ่งที่ยิ่งเก่ายิ่งแก่ ยิ่งดี ยิ่งเป็นประโยชน์ ประโยชน์เพราะเขาเก็บ เห็นไหม ดูของเก่าสิ สิ่งที่มันเป็นประโยชน์ ยิ่งอายุมากเท่าไรยิ่งจะได้ราคามากเท่านั้น อันนั้นมันก็ยังเป็นสมมุติอยู่นะ แต่ถ้าเอาจริงๆ เราเอาจริงกลับมาที่เรานะ เราเอาปัจจุบัน ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาธุ! ต้องศึกษา ถ้าไม่ศึกษา เราจะเดินทางกันอย่างไร ดูสิ คนจะเดินทางเขาต้องดูแผนที่ก่อน เวลากางแผนที่ไปมันยังหลงเลย

นี่ก็เหมือนกัน เราก็ศึกษา แล้วเวลาปฏิบัติไป เวลามันเป็นสมาธิ เวลาจิตมันสงบ สงบอย่างไร แล้วเราก็ศึกษามา เราก็คาดหมาย สมาธิว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ ก็เผลอๆ ก็ว่างๆ เผลอนั่นแหละสมาธิของเขา

แต่ครูบาอาจารย์เราไม่เป็นอย่างนั้น ไม่ให้เผลอ ตั้งสติให้ดี กำหนดไว้ บริกรรมไว้ จิตให้มันเกาะไว้ เกาะไว้ก่อนๆ อย่าปล่อยให้มันเร่ร่อน พุทโธๆ ให้ชัดๆ มีสติกำหนดให้มันดีๆ ถ้ามันใช้ปัญญาก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาการสำรอก ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่งที่มันทำอยู่นี่ มันคิดอยู่นี่ มันเอาแต่ฟืนแต่ไฟมาเผาเราอยู่นี่ ใช้ปัญญาแยกแยะมัน เอ็งทำไมคิดอย่างนี้ แล้วความคิดเอ็งมาจากไหน เราต้องการความสงบสุข ทำไมเอ็งคิดแต่ให้โทษกับกูนี่ นี่ใช้ปัญญาไล่มันไป ถ้าปัญญาไล่มันไป เพราะมีสติมีปัญญา มีสติปัญญา สิ่งที่พลังงานที่มันเกิดขึ้น พลังงานมันดันขึ้นมา ถ้าพลังงานดันขึ้นมา พลังงานดันขึ้นมาด้วยอวิชชา ด้วยความไม่รู้ของมัน พลังงานดันขึ้นมา เรามีสติปัญญาควบคุมมันดูแลมัน พลังงานเราเอาไปใช้สอย ทำพลังงานให้เกิดประโยชน์กับโลก

ความร้อนๆ เขาเอามาปั่นไฟ เอามาทำไฟ ให้พลังงานให้กับกระแสโลกได้ นี่พลังงานเหมือนกัน ถ้าคนรู้จักคิดรู้จักใช้ประโยชน์มันจะเป็นประโยชน์ พลังงานเหมือนกัน คนไม่รู้จักคิด ดูสิ เวลาภูเขาไฟมันระเบิด พลังงานเหมือนกัน มันทำลายหมด บ้านเรือนก็ทำลาย คนก็ทำลาย ชีวิตก็ทำลายหมด มันทำลายทั้งนั้นเลย แต่พลังงานที่มันขึ้นมา ดูสิ ที่เขาเอาความร้อนที่มาทำไฟฟ้า พลังงานเหมือนกัน แต่ทำไมคนเขาใช้ประโยชน์ได้ล่ะ

ถ้ามีปัญญาเหมือนกัน ความคิดๆ มันใช้ประโยชน์ขึ้นมา ปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา ปัญญาอบรมสมาธิคือปัญญาวิมุตติแบบพระสารีบุตร ถ้าสมาธิอบรมปัญญาแบบพระโมคคัลลานะ นี่มันมีปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา เวลาปฏิบัติไปแล้วมันเป็นปัญญาวิมุตติ-เจโตวิมุตติ มันวิมุตติหลุดพ้นได้ มันวิมุตติหลุดพ้นได้ด้วยธรรม ทำด้วยความสัมมาทิฏฐิ ทำด้วยความถูกต้องดีงาม

ไม่ใช่มันจะบรรลุพ้นได้ด้วยความคิดของเราไง มันจะบรรลุพ้นได้ด้วยส่งเสริมเยินยอกันไง มันจะบรรลุพ้นได้ด้วยความเห็นเหมือนกัน ถ้าเอ็งเห็นเหมือนกูนี่บรรลุได้ ถ้าเห็นไม่เหมือนกูไม่ใช่

มันไม่ได้บรรลุอย่างนั้น มันจะบรรลุด้วยความเป็นจริงของมัน แล้วเป็นจริงอย่างไร เป็นสันทิฏฐิโก เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก แล้วเป็นแล้ว ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การเกิดในสังคม สังคมที่เป็นบัณฑิต บัณฑิตเขาคุยกันเรื่องบัณฑิต ครูบาอาจารย์ของเราเวลาท่านคุยธรรมะกัน ท่านตรวจสอบกัน ตรวจสอบกันเพื่อประโยชน์ทั้งสองฝ่าย สิ่งที่เป็นสสาร สิ่งที่เป็นแร่ธาตุทองคำ เขายิ่งเผา ยิ่งมาหล่อหลอมมันยิ่งสะอาดบริสุทธิ์ เวลาครูบาอาจารย์ท่านใช้ ธมฺมสากจฺฉา ท่านสนทนาธรรมกันเพื่อประโยชน์ มันไม่ใช่คนหน้าด้านอย่างพวกเรา เวลาคุยกันกูต้องชนะนะ เวลาคุยกันกูต้องเหนือกว่า

เหนือกว่ามันจะเหนือไปไหน เหนือกว่ามันคือกิเลส แต่ถ้าความเสมอภาค ภราดรภาพ ความเป็นจริงมันมีใครเหนือใครล่ะ มันมีเหตุมีผล เอาเหตุเอาผลนั้น หลวงตาท่านสอนบ่อย เหตุและผลรวมลงแล้วคือสัจธรรม มีเหตุมีผล เหตุผลใครเหนือกว่า เหตุผลใครชัดเจนกว่า ถ้าชัดเจนกว่า แสดงว่าเราไม่รู้ แต่ถ้าเหตุผลเป็นธรรมนะ ไม่มีใครเหนือกว่า ไม่มีใครชัดเจนกว่า มันเสมอกัน เสมอกัน เห็นไหม อริยสัจมีหนึ่งเดียว จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ความนิโรธ นิโรธะมันรู้แจ้งอย่างไร นิโรธ นิโรธมันดับอะไร มันดับตรงไหน เวลาไฟมันเกิดขึ้น เราดับที่ไหน

ไฟมันเกิดขึ้น นู่น ไปดับไฟคนอื่นนะ บ้านเราไฟไหม้อยู่นี่มันไม่ดู เวลาดับไฟมันดับไฟในบ้านเรา บ้านเราทำให้ดีงาม บ้านเขา เขาก็ทำของเขา ทำให้ดีงามทั้งหมด แล้วสังคมมันดีงามไปหมด นี่เสมอกัน ความเสมอกันมันจะมีใครสูงกว่าใคร ใครต่ำกว่าใคร

ถ้ามีใครสูงใครต่ำ มานะ ๙

เราต่ำกว่าเขา สำคัญตนว่าต่ำกว่าเขา สำคัญตนว่าเสมอเขา สำคัญตนว่าสูงกว่าเขา

เราเสมอเขา สำคัญตนว่าเสมอเขา สำคัญตนว่าต่ำกว่าเขา สำคัญตนว่าสูงกว่าเขา

เราสูงกว่าเขา สำคัญตนว่าสูงกว่าเขา สำคัญตนว่าเสมอเขา สำคัญตนว่าต่ำกว่าเขา

“สำคัญตน” เสมอกันถ้าสำคัญตนก็ผิดแล้ว ถ้ามันเป็นความจริง ความจริงมันมีทิฏฐิมานะอะไรต้องไปสำคัญ เป็นจริงก็เป็นจริง เขาเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ช่างมัน เชื่อมันก็เป็นจริง ไม่เชื่อมันก็เป็นจริง ความจริงมันเป็นจริง ไอ้นั่นมันเป็นความเชื่อ ความเชื่อของคนมันก็เป็นความเชื่อ มันเป็นกิเลส แต่ความจริงเป็นความจริง พิสูจน์เมื่อไหร่มันก็เป็นความจริง ไม่มีกาลไม่มีเวลา จะพิสูจน์เมื่อไหร่ จะพิสูจน์ที่ไหน มันก็เป็นความจริงอยู่วันค่ำ

พูดถึงว่าธรรมะของครูบาอาจารย์ไม่ใช่ธรรมะเก่าแก่ ฉะนั้น แจกหนังสือหลวงปู่เสาร์ เจ้าคุณอุบาลีฯ ต่างๆ เรารื้อค้นขึ้นมา ทำขึ้นมาเพื่อประโยชน์ไง เป็นแนวทาง ใครได้รับไปแล้วให้เปิดดู เปิดดูเป็นคติ เป็นคติ เป็นเครื่องเตือนใจ เป็นการบอกให้เรามีความกระตือรือร้น ให้เราได้ขวนขวายเพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง